เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๓ ต.ค. ๒๕๔๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาคติธรรมโบราณ สอนเขาให้จับปลานี่เขาจะเลี้ยงชีวิตเขาได้ใช่ไหม เราให้ปลาเขากิน เขากินปลาหมดแล้วก็หมดกันใช่ไหม นี่คติโบราณของจีนเขานะ เขาบอกว่า “สอนให้จับปลา ดีกว่าให้ปลาเขากิน” สอนเขาจับปลาเขาจะเลี้ยงตัวเขาเองได้ ถ้าเราให้ปลาเขากินนี่ ให้กินแล้วหมดแล้วก็หมดกัน ถ้าเราสอนเขานี่ วิชาการหรือหลักการดำรงชีวิต ไอ้สิ่งนี้มันจะทำให้เขาดำรงชีวิตได้

เหมือนกันนะ “สังฆะ” องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้ ธรรมและวินัยเป็นศาสดา ธรรมและวินัย นี่สังฆะ ถ้าฝากบุคคลไว้นี่ บุคคลชีวิตเขาแค่ ๑๐๐ ปีไง แต่สังฆะนะ เวลาทำสังฆกรรมขึ้นมา พระ ๔ องค์ขึ้นไปเป็นสังฆกรรม สวดญัตติขึ้นมาเป็น สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ สงฆ์เกิดขึ้นแล้ว พอสงฆ์เกิดขึ้นแล้วจะทำสิ่งใดก็ได้ให้เป็นสังฆกรรมไง สังฆกรรมทำให้เราสืบต่อมาจนปัจจุบันนี้นะ

กึ่งกาลพุทธศาสนา ๒,๕๐๐ ปี ถึง ๕,๐๐๐ ปีนะ ในพระไตรปิฎกพยากรณ์ไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้หมดแล้วว่าต่อไปพระศรีอริยเมตไตรจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป แล้วยังมีอีก ๑๐ องค์จะมาต่อไป เห็นไหม สิ่งที่ต่อไปนี่ ญาณหยั่งทราบ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ว่าเป็นสังฆกรรมนี้เป็นพิธีกรรม เป็นธรรมและวินัย เป็นข้อวัตรปฏิปทาเครื่องดำเนินจะให้จิตนั้นเข้าไปถึงที่สุดได้ไง เพราะจิตการเกิดและการตายนี้มันไม่มีที่สิ้นสุด

ชีวิตของคน ความรู้สึกอันนี้มันย่อยสลายไม่ได้ ความรู้สึกอันนี้ทำลายไม่ได้ แต่ความรู้สึกมันมีสุขมีทุกข์นี่ทำลายสุขและทุกข์ในหัวใจนี้ได้ ความสุขความทุกข์คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วเวลาความสุขทำไมต้องทำลายมันล่ะ? ความสุขอันนี้มันเป็นความสุขเพราะมันเป็นความทุกข์ดับไปแล้วมันมีความสุขความพอใจ เพราะเราหลงระเริงในโลกไง

ถ้าเราหลงระเริงในโลก เราว่าสิ่งที่มีความสุข อันนี้เป็นความสุขของเรา เราเข้าใจของเราว่าเป็นความสุข แต่สิ่งนี้เป็นเหยื่อของโลก มันล่อให้เราติด เวลาพระเขาเข้าฌานสมาบัติกันจะมีความสุขมากเพราะมันปล่อยว่างหมด วางหมด แต่สิ่งนี้ก็เป็นอนิจจังไง นี่ถึงว่าเป็นความสุขและความทุกข์

แต่วิมุตติสุข วิมุตติสุขอันนั้นเป็นสุขอันอย่างยิ่ง คือสุขที่มันไม่เจือด้วยขันธ์ คือว่าเป็นสุขเวทนา พอใจก็เป็นสุข ไม่พอใจก็เป็นทุกข์ สิ่งนี้เป็นปฏิปทา ถ้าเป็นความสุข เป็นเครื่องดำเนินปฏิปทา เวลาพระประพฤติปฏิบัติไป เริ่มทำความสงบของใจเข้ามานี่มันจะมีความสุข มีความสุขมาก ทำให้ติดสุขได้

ทำไมพระเราติดล่ะ ติดในสมาธิ ติดในความเห็น ติดในความว่าง

ความว่างอันนี้มันเป็นอนิจจังทั้งหมด มันเป็นอนิจจังไปถึงที่สุด ถึงที่สุดแล้วพอไปถึงตัวมันเองนะ เพราะอะไร เพราะเวลาอวกาศมันว่าง สิ่งต่างๆ ที่เป็นความว่างนี่เขาไม่มีความรู้สึกของเขา แต่เวลารู้ว่าความว่างๆ นี่เรามีผู้รู้ความว่าง ความว่างคือว่าผู้รู้เราไปรับรู้สิ่งนั้น จนที่สุดแล้วเราทำลายสิ่งที่ว่าเป็นสุขเข้ามาเรื่อย มันปล่อยวาง มันสุขขนาดไหนเราก็พิจารณาของมันไป เพราะมันอนิจจัง เราติดไม่ได้ ติดแล้วเราจะก้าวเดินไปไม่ได้

แล้วพอมันเห็นสมุจเฉทปหาน มันจะปล่อยวางเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา จนถึงที่สุด ไอ้ผู้รู้ที่ว่าว่างๆ นั่นน่ะมันไปทำลายตัวมันเอง มันไม่มีใครว่าว่าง มันไม่เหมือนอวกาศ อวกาศว่าง เขาไม่มีชีวิตของเขานะ แต่วิมุตติสุขนี่มันเป็นสิ่งที่ว่าจิตดวงนี้มันมีความรู้สึกของมันอยู่ มันเป็นวิมุตติสุขที่ว่าไม่ขยับเคลื่อนไปไหนเลย

“สังฆกรรม” สิ่งที่สังฆกรรม สอนให้เขาจับปลา ถ้าสอนให้เขาจับปลานี่เขาจะทำสิ่งนี้ของเขาได้ขึ้นมา แล้วพอจับปลาไปแล้ว สิ่งนี้พอทำลายกิเลสอวิชชาไปทั้งหมดแล้ว มันดำรงชีวิตของมันอยู่ได้ตลอดไป

เวลาหลวงปู่มั่น ในประวัติหลวงปู่มั่น เวลาท่านสงสัยในธรรมวินัย เพราะสมัยนั้นไม่มีใครสามารถจะสอนได้ มันมีแต่หลักวิชาการ มีแต่หลักในพระไตรปิฎก หลวงปู่มั่นเข้าความสงบของใจ นี่วิมุตติสุข จิตที่พ้นจากวิมุตติไปแล้ว พ้นจากสุขและทุกข์ไปแล้ว เขาอยู่ของเขาโดยธรรมชาติของเขา เราจะไปสัมผัสอย่างนั้นไม่ได้ เขาก็จะมาสื่อสัมพันธ์กับเราไม่ได้

แต่เวลาหลวงปู่มั่นสงสัยในธรรม ทำความสงบของใจเข้ามาให้เข้าไปถึงสงบอันนั้น สงบอันนั้นระหว่างกึ่งกลางไง มโนสัญเจตนาหาร สิ่งที่เจตนาของใจดวงนั้นออกมา “มโน” สิ่งที่มโนสร้างภาพขึ้น สร้างความรับรู้ความว่างนั้นขึ้น นี่วิมุตติ วิมุตติออกตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอนหลวงปู่มั่น พระอรหันต์มาสอนหลวงปู่มั่น วิธีการห่มผ้า วิธีการต่างๆ เห็นไหม นี่สังฆกรรม สิ่งที่สังฆกรรม สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ สงฆ์เกิดขึ้น สังฆกรรมเกิดขึ้น ธรรมวินัยเกิดขึ้น ปรับอาบัติใครเกิดขึ้น

เวลาปรับอาบัติ เวลาลงพรหมทัณฑ์ลงต่างๆ วินัยกรรมอันนี้จะเกิดขึ้นมา นี่สังฆกรรม ปฏิปทาเครื่องดำเนิน สิ่งนี้ดำเนินขึ้นมาจนให้จิตอันนี้มันพ้นออกไป พ้นออกไปจากกิเลส สิ่งนี้กลับมีอยู่

สิ่งที่ไม่มีอยู่ สิ่งที่เป็นตัวตน สิ่งที่เป็นบุคคล เห็นไหม ในมหายาน สังฆราชต่างๆ เขาจะส่งจีวรกัน ส่งมาเป็นองค์ๆ ไป ถึงองค์ที่ ๖ ท่านเห็นแล้วสลดสังเวชนะ เพราะอะไร เพราะเว่ยหล่าง กว่าจะได้สิ่งนี้มา เขาจะตามฆ่า เขาอิจฉาตาร้อน เขาจะตามทำลาย เพราะสิ่งนี้มันกลับให้เป็นโทษ ท่านถึงเป็นองค์สุดท้าย ต่อไปนี้ให้ถึงธรรมแล้วให้ปลด ให้วาง ให้เป็นสังฆะโดยความเป็นจริง ไม่ต้องมีรูปแบบ ไม่ต้องมีสิ่งใดๆ มันจะได้ไม่มีสิ่งที่คนเข้าไปยึดมั่นเป็นสิ่งที่ว่าเป็นรูปธรรมที่เอามาทำลายกัน เห็นไหม พ้นจากตรงนั้นไป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามาแล้วมันสมุจเฉทปหานเข้ามา มันกลับเป็นสิ่งที่มีอยู่ไง จิตที่มีอยู่ กับจิตของเรานี่มีอยู่ เราก็มีความรู้สึกอยู่ ความรู้สึกนี้ทำลายไม่ได้ แต่ความรู้สึกนี้อาศัยบุญกุศลและบาปอกุศลที่มันคละเคล้ากันไป “ที่ใดมีนาม ที่นั่นมีรูป ที่ใดมีรูป มีความรู้สึก” นาม รูป ความรู้สึกอันนี้มันจะเคลื่อนไปกับอวิชชาโดยความเป็นไปของมัน มันจะเคลื่อนไปตามสภาวะแบบนั้น

ถ้าอย่างนี้ นี่สอนเขาให้จับปลา ถ้าเขาจับปลาของเขาได้ จับปลาสิ่งนี้ได้แล้วทำลายสิ่งนี้ได้ สิ่งนี้มีอยู่ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ขึ้นมามีความสุขอันนี้ นี่จิตมันพ้นออกไปแล้วไม่ต้องห่วงนะ

เวลาเราคิดถึงเรื่องของสังคมไง ถ้าคนถือศีล ๕ หมด แล้วสังคมจะอยู่กันอย่างไร จะไม่มีอาหารให้เรากิน จะไม่มีต่างๆ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะคนเรานี่มีกิเลสมีตัณหา ทำไมลูกเราเกิดขึ้นมา เด็กๆ นี่ เราจะให้มันจับปลาได้ไหม? เป็นไปไม่ได้หรอก เราต้องให้ปลามันกิน แล้วพอมันโตขึ้นมานี่มันจะจับปลากินเป็นไม่เป็น มันก็เป็นเรื่องหน้าที่ของมัน

นี่ก็เหมือนกัน สังคมถ้าจิตใจเขาต้องการสภาวะแบบนั้น เขาจะอยู่ของเขาอย่างนั้นแหละ เราไม่ต้องเป็นห่วงหรอกว่าคนจะไม่มีคนทำความผิดพลาด ไอ้เรื่องของกิเลสตัณหา มันมีอยู่แน่นอนอยู่แล้ว สังคมจะเป็นไปอย่างนี้

เหมือนกัน เมื่อก่อนนี้คนไทย ๑๖ ล้านคน เดี๋ยวนี้ ๖๐ ล้านคน แล้วจะเป็น ร้อนล้านคน จะเป็นพันล้านคนนี่มันจะมากจากไหน จิตนี้มหาศาลมาก จิตนี้เป็นของลึกลับมาก ความรู้สึกจะเป็นของลึกลับมาก

ดูในร่างกายของเราสิ เซลล์ต่างๆ มันก็มีชีวิตทั้งนั้นล่ะ มันเกิดขึ้นมาชั่วอายุของมัน สัตว์ต่างๆ เกิดขึ้นมาชั่วอายุของมัน นี่จิตนี้มันไปเสวยทั้งหมดนะ เวลาเราอยู่กันทางโลก เราบอกว่าเราต้องมีอาหาร (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)